ไต้หวันโมเดล “Long-term care” แนวทางการดูแลผู้สูงอายุระดับสุดยอด 24 ชั่วโมง กับโอกาสส่งออกสินค้าบริการของไทย

share to:

Facebook
Twitter

การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไต้หวัน ผ่านโครงการ Long-term care มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงระบบดูแลผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยลักษณะเฉพาะของแต่ละชุมชน รวมถึงชนเผ่าพื้นเมืองและพื้นที่ห่างไกล

ล่าสุดรัฐบาลไต้หวันได้อนุมัติโครงการ Long-term care 3.0 รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด ขยายขีดความสามารถในการให้บริการ 24 ชั่วโมง ด้วยศูนย์ดูแลช่วงกลางวัน เพิ่มบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ และเสริมสร้างศูนย์บริการขนาดเล็กที่ให้บริการหลายฟังก์ชัน รวมถึงการจัดหาบริการช่วงเวลากลางคืนแบบเข้าถึงทุกครัวเรือน

รายงานจาก กัลยา ลีวงศ์เจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา ส่วนที่ 2 ถึงการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไต้หวัน ผ่านโครงการ Long-term care 3.0 รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด และโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสินค้าและบริการของไทย ทั้งสินค้าอาหาร สินค้าไลฟ์สไตล์ รวมไปจนถึง Medical Tourism เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุชาวไต้หวัน

ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์รายงานข้อมูลว่า ไต้หวันก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด” ในปี 2568 ซึ่งหมายความว่าหนึ่งในห้าของประชากรจะมีอายุมากกว่า 65 ปี ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลไต้หวันได้เตรียมความพร้อมรับมือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาโดยตลอด และดำเนินการตามโครงการดูแลระยะยาว 2.0 มาตั้งแต่ปี 2559 โดยใช้งบประมาณรวม 2,810 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ไต้หวันสามารถขยายจำนวนสถานดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจาก 720 แห่งเมื่อ 9 ปีก่อน เป็น 15,000 แห่ง ในปัจจุบัน

5 แนวทางดูแลครบวงจร

ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 รัฐบาลไต้หวันได้อนุมัติและเตรียมดำเนินโครงการดูแลระยะยาว 3.0 ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโครงการ 2.0 ที่ประสบความสำเร็จ โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงระบบดูแลผู้สูงอายุและผู้ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีแนวทางหลัก 5 ประการ ได้แก่

1. เพิ่มการเข้าถึงบริการ ตั้งเป้าหมายให้ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงสถานดูแลได้ภายในเวลาขับรถไม่เกิน 10 นาทีจากทุกครัวเรือน
2. ลดระยะเวลารอคอยของผู้ป่วยนอกให้เหลือเพียงไม่เกิน 0 วัน และเชื่อมโยงบริการดูแลระยะยาวกับระบบโรงพยาบาล ซึ่งจะทำให้การจัดเตรียมพื้นที่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการรับบริการดูแลระยะยาวจะต้องเสร็จเรียบร้อยก่อนวันที่ผู้ป่วยจะออกจากโรงพยาบาล
3. ขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยกลุ่มที่มีสิทธิ์รับบริการรวมถึงผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ชาวพื้นเมืองที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีภาวะทุพพลภาพ และกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
4. บูรณาการระบบการดูแล โดยเชื่อมโยงบริการทางการแพทย์และการดูแลระยะยาว เช่น การแพทย์ทางไกล และการดูแลแบบประคับประคอง จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดผ่านแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูล เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างระบบการแพทย์และระบบดูแลระยะยาว
5. นำ AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการดูแล

 

ที่มาข้อมูล อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ : https://www.salika.co/2025/04/18/long-term-care-taiwan-model/