คงไม่ต้องบอกกันแล้วว่า ประเด็นเรื่องความยั่งยืน หรือ ESG มีความสำคัญขนาดไหนในยุคนี้ พิสูจน์ได้จากการปรับเปลี่ยนและลงมือทำของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม ไปจนถึงปัจเจกบุคคล จนทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ที่สร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อทั้งสิ่งแวดล้อมรวมถึงสังคมไทยในทุกภาคส่วนตลอดมา แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าบ่อยครั้งที่ข้อเท็จจริงด้านความยั่งยืนถูกรายงานออกมา แต่ปราศจาก “การลงมือทำ หรือ Action” ที่แท้จริง ทำให้สถานการณ์นั้นยังคงเป็นเหมือนฝุ่นใต้พรมที่รอคอยผู้ที่จะมาสะบัดพรมผืนนี้ สร้างสังคมไทยให้น่าอยู่และขับเคลื่อนไปบนแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างที่ทุกฝ่ายคาดหวังที่จะเห็น
ดังนั้น เพื่อขับเคลื่อนแนวทาง ESG ไปปรับใช้ในวงกว้างและก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมจนนำทางสังคมสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืน การสัมมนาครั้งสำคัญ “ESGNIVERSE 2025 : Real – World of Sustainability จักรวาลแห่งความยั่งยืน” จึงเกิดขึ้น ในโอกาสที่ BRAND BUFFET ครบรอบก้าวสู่ปีที่ 14 โดยร่วมกับ SD THAILAND รวมเอาตัวท็อปผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญในวงการความยั่งยืน มาร่วมแชร์ประสบการณ์และมุมมองด้านความยั่งยืน ตามหลักของ ESG ภายใต้ธีม “From Reports to Real Impact” จากรายงานสู่โลกของการปรับใช้จริง
เพื่อสรุปให้ทุกคนได้เห็นสาระสำคัญจากมุมมองของวิทยากรคนสำคัญในจักรวาลแห่งความยั่งยืน ที่มาแชร์ประสบการณ์ “พูดจริง ทำจริง” ในงานสัมมนา ESGNIVERSE 2025 เราขอหยิบเอาประเด็นน่าสนใจมาบอกเล่าให้ทุกคนได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้ไปด้วยกัน
What’s Next for the Sustainable Growth จากโมเดลสู่โซลูชัน เพื่อเข้าถึงความยั่งยืนที่แท้ทรู
ปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ จำกัด ฉายภาพให้เห็นว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตของโลก ตั้งแต่ช่วงปี 1800 -2000 เป็นต้นมา หรือกว่า 2 ศตวรรษที่ผ่านมา มุ่งโฟกัสเพียงการสร้างกำไรให้ได้มากที่สุด โดยไม่ได้วาง คน สิ่งแวดล้อม ไว้ในสมการเดียวกันตั้งแต่แรก ผลที่ตามมา และเห็นได้ชัดเจนหลังจากปี 2000 จนถึงปัจจุบัน คือ สภาพเศรษฐกิจก็ไม่ได้เติบโตตามที่หวัง พร้อมทั้งยังสร้างผลกระทบทั้งต่อผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นห่วงโซ่ตามมาอีกด้วย
“ที่ผ่านมา โลกล้มเหลวต่อความพยายามลดอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ไปแล้ว จากนี้ทำได้ดีที่สุดคือ การรักษาระดับไว้ที่ Best Case ราว 1.8 องศาเซลเซียส และ Worst Case ต้องไม่เกิน 2.6 องศาเซลเซียส ปรากฎการณ์นี้สะท้อนได้ชัดเจนว่า สิ่งที่โลกเดินมาตลอดนั้นไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง และขาดความสามารถในการพัฒนา New Growth หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโต”
“นอกจากนี้ ตลอดกว่า 2 ศตวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 1820 ถึงปัจจุบัน มูลค่าทางเศรษฐกิจเติบโตเป็นร้อยเท่าจาก 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (USD) เป็น 105 ล้านล้าน USD แต่โตมาจากเม็ดเงินลงทุนที่สูงถึง 307 ล้านล้าน USD เท่ากับว่า เราต้องใส่เงินถึง 3 บาท เพื่อให้มีรายได้ 1 บาท ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้สินที่ทุกคนต้องแบกรับอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่โลกไม่มีเงิน แต่เงินอยู่ที่ภาคเอกชน ขณะที่ภาครัฐหรือผู้กำหนดนโยบายไม่สามารถหาวิธีนำเงินเหล่านี้ออกมาใช้ได้ โดยทุกประเทศทั่วโลก เงินของภาคเอกชน หรือ Private Wealth จะมีมูลค่ามากกว่างบประมาณจากภาครัฐหลายเท่าตัว แม้แต่ประเทศไทยเองที่มีสัดส่วนต่างกันเกือบ 4 เท่า”
ที่มาภาพ/ข้อมูล อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ : https://www.salika.co/2025/07/19/esgniverse-2025-sum-up-important-issues/