เชื่อว่าในยุคนี้ ถ้าพูดถึง BCG Economy หลายคนอาจคุ้นหูและทราบแล้วว่า
B คือ Bioeconomy ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าจากทรัพยากรธรรมชาติด้วยเทคโนโลยี เช่น โปรตีนจากพืช ยาชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ
C คือ Circular Economy เป็นการหมุนเวียนทรัพยากรให้ใช้งานได้คุ้มค่า รีไซเคิล-อัพไซเคิล เช่น พลาสติก แก้ว และสิ่งทอ
G คือ Green Economy เป็นธุรกิจเติบโตไปกับเทคโนโลยีที่เน้นพลังงานสะอาด ลดคาร์บอน เช่น ธุรกิจ Solar, EV, Green Hotel
แต่เราเชื่อว่ามีคนอีกไม่น้อยที่คิดว่า BCG Economy เป็นแค่ส่วนหนึ่งของแนวคิดรักษ์โลก ที่บัญญัติขึ้นเพื่อให้เกิดการนำไปปรับใช้จริงในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเท่านั้น ทั้งที่จริงๆแล้วโมเดลนี้กำลังกลายเป็น “New Engine of Growth” ของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ที่ตั้งเป้าสร้างมูลค่า GDP จาก BCG ให้ได้กว่า 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2027
โดยถ้าจะตอบคำถามว่า “ทำไม BCG ถึงตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่?” ก็สามารถตอบได้ทันทีว่าเพราะโลกวันนี้เผชิญกับ Climate Change วิกฤตอาหาร พลังงานสะอาด และแรงกดดันจากตลาดทุนทั่วโลก ผู้บริโภครุ่นใหม่จึงเลือกแบรนด์ที่ยั่งยืน และ ESG Fund ก็ไหลเข้าธุรกิจที่มีเป้าหมาย Net Zero ทั่วโลก จากรายงานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)
และมีคาดการณ์ว่าในปี 2568 การลงทุนด้านพลังงานทั่วโลกจะสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้นโลกกำลังมองหาโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ “ตอบโจทย์ทั้งกำไร และความยั่งยืน” ไปพร้อมกัน BCG Economy จึงกลายเป็นคำตอบแบบ 3 IN 1 ด้วยโมเดลเศรษฐกิจที่ผสาน 3 เสาหลัก นั่นคือ Bioeconomy, Circular Economy และ Green Economy
ส่องเทรนด์ระดับโลก ดัน BCG Economy ขึ้นแท่น “อุตสาหกรรมแสนล้าน”
เทรนด์ที่ 1 : ตลาด Plant-Based และ Functional Food โตต่อเนื่อง
เทรนด์ที่ 2 : …
ที่มาภาพ/ข้อมูล อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ : https://www.salika.co/2025/07/31/from-bcg-economy-to-high-value-industry/