‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคข้าวเพื่อชาวนาไทย

‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคข้าวเพื่อชาวนาไทย

  ประเทศไทยผลิตข้าวได้มากกว่า 26 ล้านตันต่อปี เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายสำคัญอันดับ 4 ของโลก หากแต่รายได้ที่นำกลับเข้าประเทศมากกว่าแสนล้านบาทต่อปีนี้กลับไม่ได้สะท้อนถึงผลกำไรที่เกษตรกรควรได้รับ เพราะชาวนาไทยส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในวังวนของการ ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ต้องเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศ รวมถึงวิกฤตโรคระบาดที่ฉุดรั้งผลผลิตข้าวไทยให้ถดถอยลงทุกที กลุ่มโปรแกรมเกษตรสมัยใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สนับสนุนทุนในการดำเนินโครงการวิจัย ‘โมบายแอปพลิเคชันเพื่อการวินิจฉัยโรคข้าวโดยใช้การวิเคราะห์ภาพถ่ายและปัญญาประดิษฐ์’ ให้แก่ทีมวิจัยจาก สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อดำเนินการพัฒนา ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคข้าวผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีแก่เกษตรกร เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกปัญหาการรับมือกับโรคระบาด ลดต้นทุนการใช้สารเคมีที่เสียไปอย่างไร้ค่า และยกระดับผลผลิตข้าวไทยให้มากขึ้น โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2562 ด้วยความร่วมมือระหว่างเนคเทค สวทช. กับภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ต้องการสร้าง ‘แพลตฟอร์มกลาง’ เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเครื่องมือการวินิจฉัยโรคข้าวที่มีประสิทธิภาพ พร้อมได้รับคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเหมาะสม ซึ่งจะช่วยยับยั้งการลุกลามของโรคระบาดในพื้นที่และในภาพรวมของประเทศได้อย่างทันการณ์ จากโจทย์ปัญหาดังกล่าวจึงนำมาสู่การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ ระบบแชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยแพลตฟอร์มนี้ผ่านการออกแบบให้เกษตรกรใช้งานได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ต่างใช้งานจนคุ้นเคยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว […]

‘Magik Color แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ’ สีสันอัตลักษณ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

'Magik Color แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ' สีสันอัตลักษณ์ สร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

  ‘แป้งพิมพ์ผ้า’ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่อุตสาหกรรมสิ่งทอทั่วโลกใช้พิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้าแต่แป้งพิมพ์ส่วนใหญ่ที่ใช้งานในปัจจุบัน ‘มีสีเคมีเป็นส่วนผสม’ ซึ่งอาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน และก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา ‘Magik Color แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ’ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการลดการใช้สารเคมี โดยผลิตภัณฑ์นี้มีการนำจุดแข็งเรื่องความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทยมาใช้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ‘ให้มีสีสันสดใส หลากหลายเฉดสี’ ปัจจุบันแป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติมี 6 เฉดสี ประกอบด้วย ‘สีน้ำตาลเหลือง’ จากเปลือกต้นโกงกางและเปลือกผลชาน้ำมัน ‘สีแดงและชมพู’ จากครั่ง ‘สีเหลือง’ จากใบมะม่วงและดอกดาวเรือง ‘สีน้ำตาล’ จากดอกดาวเรือง และ ‘สีเทาดำ’ จากผงถ่าน โดยวัตถุดิบที่นำมาใช้สกัดผงสีเป็นวัตถุดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศ โดยเปลือกต้นโกงกาง เปลือกผลชาน้ำมัน และผงถ่าน เป็นขยะที่ได้มาจากอุตสาหกรรมอาหาร การสกัดผงสีจากวัตถุดิบธรรมชาติมาใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ ทำให้ในภาพรวมสามารถช่วยลดสัดส่วนสารเคมีในผลิตภัณฑ์ได้มากกว่าร้อยละ 20 ขณะที่องค์ประกอบอื่น ๆ ที่เป็นสารเคมีล้วนผ่านการทดสอบเพื่อรับรองความปลอดภัย ปัจจุบันผลงานแป้งพิมพ์สีธรรมชาติอยู่ในสถานะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ โดยทีมวิจัยได้เริ่มดำเนินการขยายผลสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) แล้วด้วย แป้งพิมพ์สีธรรมชาติเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาลดการใช้สารเคมี และพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ขณะเดียวกันการพัฒนาสีจากธรรมชาติยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย รวมถึงช่วยต่อยอดผ้าทอไทยให้มีสีสันสวยงามหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ มีความทันสมัย และตอบโจทย์กระแสแฟชั่นโลกที่กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน […]

BATT SWAP : แพลตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่สับเปลี่ยนได้สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า

  นักวิจัยไทยร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนวิจัยสร้างมาตรฐานกลาง Battery PACK และ สถานีชาร์จ สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานในประเทศไทย โดยมุ่งเป้าใน 3 ด้านหลัก ด้านแรกคือการสร้างความพึงพอใจในการใช้งานให้แก่ผู้ที่ใช้รถจัยรยานยนต์ในการประกอบอาชีพหรือใช้เพื่อการเดินทางในชีวิตประจำวัน ทั้งด้านการสับเปลี่ยนแบตได้รวดเร็วภายใน 5 นาที ไม่ต้องรอชาร์จ และการช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลและเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ตามอายุการใช้งาน ด้านที่สองคือการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการถือครองให้แก่ผู้ประกอบการที่ลงทุนให้บริการสถานีชาร์จ เพราะการที่แบตเตอรี่และสถานีชาร์จมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานกลาง ใช้ร่วมกันได้หลายรุ่นหลายแบรนด์ จะส่งผลให้มีลูกค้ามาใช้งานที่สถานีชาร์จมากยิ่งขึ้น ทำให้การลงทุนคืนทุนไว ด้านที่สามคือความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีใหม่ เพราะหากในประเทศไทยหรือทั่วโลกมีการพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การให้บริการด้วยโมเดลนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์สำหรับให้บริการได้ง่าย ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยร้อยละ 30 ในปี 2030 ปัจจุบันทีมวิจัยและพันธมิตรได้เริ่มทดสอบประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการใช้งานแล้ว โดยมีต้นแบบแพ็กแบตเตอรี่ 1 รุ่น ต้นแบบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่น 2 แบรนด์ รวม 15 คัน และมีต้นแบบสถานีชาร์จให้ทดลองใช้แล้ว 3 แห่ง สถานะงานวิจัยคืออยู่ระหว่างการทดสอบเพื่อจัดทำข้อเสนอความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม รายละเอียดเพิ่มเติม: ลุยพัฒนา-สร้างมาตรฐาน “แพ็กแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบสับเปลี่ยนได้” หนุนไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน  

ยกระดับการนำส่งสารสกัด CBD ในกัญชา

ยกระดับการนำส่งสารสกัด CBD ในกัญชา

  แม้ประเทศไทยจะอนุญาตให้นำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2562 แต่ปัจจุบันตลาดกัญชายังคง ‘มีมูลค่าต่ำ’ เหตุจากยังไม่สามารถแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมมูลค่าสูงได้ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘อนุภาคนาโนสำหรับนำส่งสารสกัด Cannabidiol (CBD) ในกัญชาและกัญชง (Cannabis sativa L.)’ เพื่อลดจุดอ่อนของสารสกัด CBD ใน 2 ด้านหลัก ด้านแรกคือ ‘การนำส่งสาร’ ที่ยังมีประสิทธิผลต่ำ เนื่องจากสารสกัด CBD ละลายน้ำได้น้อย ซึมผ่านผิวหนังได้ไม่ดี จึงมักสะสมอยู่ที่หนังกำพร้าชั้นนอก การห่อหุ้มด้วยอนุภาคไขมันจะช่วยให้สาร CBD ซึมผ่านชั้นผิวหนังของมนุษย์ได้ดีขึ้น สามารถละลายหรือนำส่งสารออกฤทธิ์ไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านที่สอง คือ ‘ลดการเสื่อมสภาพของสาร’ การห่อหุ้มด้วยอนุภาคระดับนาโนจะช่วยลดการโดนแสง ค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่ไม่เหมาะสม รวมถึงออกซิเจนในอากาศที่ทำให้คุณสมบัติแอนติออกซิแดนต์ (Antioxidant) ของสารเสื่อมสภาพ การลดข้อจำกัดของสารสกัด CBD ทั้ง 2 ด้านนี้ได้สำเร็จ จะทำให้สารสกัด CBD ออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดปริมาณการใช้สารสกัด CBD ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ […]

โปรแกรมจับคู่ผสม ‘ละมั่งพันธุ์ไทย’ ลดเสี่ยงสูญพันธุ์

ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เป็นประเทศที่มีความได้เปรียบทั้งด้านการดำรงชีพและโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับจุลภาคจนถึงมหภาค แต่ช่วงหลักสิบปีที่ผ่านมาสิ่งมีชีวิตหลายชนิดในไทยกำลังมีจำนวนประชากรลดลงจนถึงขั้นวิกฤต ทั้งเหตุจากภัยธรรมชาติและการรุกรานอย่างหนักโดยมนุษย์ รายชื่อของพืชและสัตว์ที่ปรากฏใน ‘บัญชีเสี่ยงสูญพันธุ์’ กำลังส่งสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ว่า ‘หากคนไทยไม่ร่วมกันฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กลับคืนมาตั้งแต่วันนี้…ในอนาคตอันใกล้อาจต้องเผชิญกับความสูญเสียที่ไม่มีวันกลับคืน’ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านการนำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยรวมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน เข้าหนุนการดำเนินงานอนุรักษ์ให้แก่ภาคส่วนต่าง ๆ ตัวอย่างงานวิจัยสำคัญที่พัฒนาจนแล้วเสร็จในช่วงปีที่ผ่านมา คือ “โปรแกรมวิเคราะห์เลือกคู่ผสมพันธุ์สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์” โดยทีมวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) โปรแกรมที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นนี้ใช้สำหรับวางแผนจับคู่ผสมพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่เสี่ยงสูญพันธุ์ โดยวิเคราะห์ความแตกต่างของรหัสพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตนั้น แล้วคัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่มีรหัสต่างกันมากที่สุด เพื่อป้องกันการผสมแบบเลือดชิดหรือในเครือญาติใกล้ชิด (Inbreeding) เป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการจับเข้าคู่ของยีนด้อยที่อาจทำให้เกิดการส่งต่อโรคทางพันธุกรรมหรือลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์อ่อนแอลงและมีแนวโน้มสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้จุดเริ่มต้นในการพัฒนาโปรแกรมมาจากความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการทำวิจัยเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ ‘ละมั่งสายพันธุ์ไทย’ ให้แก่หน่วยงานด้านการอนุรักษ์ในประเทศ เพราะจากการประมาณจำนวนละมั่งสายพันธุ์ไทยพบว่า ‘ปัจจุบันมีเหลืออยู่เพียงหลักสิบตัวเท่านั้น ทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง’ ในการนี้ สวทช. จึงได้สนับสนุนการทำวิจัย 2 ส่วน คือ ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) ดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรมของละมั่งในประเทศไทย และ NBT พัฒนาโปรแกรมสำหรับสนับสนุนการดำเนินงานขยายพันธุ์ดังที่กล่าวถึงข้างต้น หลังจากนี้ NBT มีแผนที่จะดำเนินงานร่วมกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ […]

ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า พืชอัตลักษณ์เมืองน่าน

ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า พืชอัตลักษณ์เมืองน่าน

  ‘ไข่เน่า’ คือ ชื่อของฟักทองสายพันธุ์ท้องถิ่นที่คนน่านปลูกกันมารุ่นต่อรุ่นนานกว่า 3 ช่วงอายุคน โดยมีการเล่าต่อกันมาถึงที่มาของชื่อว่ามาจากสีของเนื้อฟักทองที่เป็นสีเขียวขี้ม้าแลคล้ายกับไข่เน่า ถึงกระนั้นแม้ชื่อของ ‘ไข่เน่า‘ จะดูไม่น่ารับประทานนัก แต่เมื่อใดที่คนท้องถิ่นได้เอ่ยปากเล่าถึงฟักทองพันธุ์นี้ ก็มักบอกเล่าด้วยภาคภูมิใจเสมอว่า ‘ไข่เน่านึ่งเสิร์ฟคู่กับน้ำพริกเป็นอาหารจานเด่นที่ต้องใช้รับแขกที่มาเยือน’ เพราะเมื่อนำผลไข่เน่าไปนึ่งจนสุกแล้ว ‘เนื้อจะทั้งเหนียวและหนึบ มีรสหวานมันกำลังดี จนใครที่ได้ลองต่างบอกว่าอร่อย…กินได้ไม่มีเบื่อ‘ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาชาวตำบลบัวใหญ่ จังหวัดน่าน มีแผนจะฟื้นฟูป่าน่านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเขาหัวโล้นให้กลับมาเขียวขจีอีกครั้ง เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำที่ปลอดภัยให้แก่คนในประเทศ ผ่านการ ‘ปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรจากเคมีสู่อินทรีย์’ โดยมีโจทย์อันท้าทายว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะต้องสร้างรายได้มากพอที่จะเลี้ยงปากท้อง ชำระหนี้ธนาคาร ที่สำคัญชาวบ้านควรมีรายได้ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีความอย่างยั่งยืน จากเป้าหมายที่วางร่วมกันนั้น ทำให้ในช่วงปี 2559 คนน่านได้รวมตัวกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เพื่อร่วมมือกับบริษัทเซ็นทรัลกรุ๊ป จำกัด, องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล-ประเทศไทย (WWF ประเทศไทย), มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานพันธมิตร นำเอา ‘ความเชี่ยวชาญด้านการปลูกฟักทอง’ ซึ่งเป็นต้นทุนด้านการประกอบอาชีพของคนในจังหวัดมาเป็นตัวตั้งในการทำภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญที่ ‘ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า‘ จะได้ออกโรงเฉิดฉายในฐานะ ‘สินค้าเด่นจากจังหวัดน่าน’ ด้วย เพราะที่ผ่านมาแม้ฟักทองสายพันธุ์นี้จะเป็นที่ชื่นชอบ ถูกปากถูกใจใครหลายคน แต่ก็ไม่เคยได้รับความนิยมถึงขั้นนำมาปลูกในปริมาณมากเทียบเท่าพันธุ์การค้า […]

‘น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์’ ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น

  โซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพเมื่อกระจกหน้าแผงสะอาดและได้รับพลังงานแสงอย่างเต็มที่ แต่ในช่วงฤดูแล้งที่มีแสงแดดจ้าเหมาะต่อการผลิตไฟฟ้า กลับเป็นช่วงที่ผู้ใช้งานต้องเผชิญปัญหา ‘ฝุ่น’ ปริมาณมหาศาล ที่ลดประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าลงถึงร้อยละ 6-10 หากไม่หมั่นทำความสะอาดหน้าแผงให้สะอาดอยู่เสมอ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยและพัฒนา ‘น้ำยาเคลือบพื้นผิวโซลาร์เซลล์สำหรับใช้ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น’ ที่มีคุณสมบัติปรับค่ามุมสัมของน้ำบนวัสดุ ช่วยลดการเกาะของน้ำและฝุ่น ลดความถี่ในการทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์ได้เป็นอย่างดี ได้ผลิตภัณฑ์สามารถยึดติดหน้าแผงได้นาน 1-2 ปี โดยไม่ส่งผลต่อการรับประกัน ผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้งานและมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากการให้บริการเคลือบพื้นผิวแผงโซลาร์เซลล์แก่โรงงานอุตสาหกรรมประเภทอาหาร วัสดุก่อสร้าง และปิโตรเลียม ที่ผ่านมา พบว่าช่วยลดความถี่ในการทำความสะอาดแผงได้เป็นอย่างดี (ความถี่ในการทำความสะอาดขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของที่ตั้งแผง) ปัจจุบันนาโนเทค พร้อมให้บริการผลิตภัณฑ์แก่ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและโซลาร์ฟาร์มแล้ว ทั้งในรูปแบบการสั่งซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์ (มีเจ้าหน้าที่สอนวิธีการเคลือบ) และการให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่การประเมินสภาพแวดล้อมจนถึงเสร็จงาน ในนามบริษัทนาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด  สำหรับการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการวางแผนธุรกิจและการขยายกำลังการผลิต คาดว่าจะพร้อมให้บริการได้ในช่วง 1-2 ปีหน้า รายละเอียดเพิ่มเติม: น้ำยาเคลือบโซลาร์เซลล์ลดการเกาะของน้ำและฝุ่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า  

‘FleXARs’ ฟิล์มปกป้องพื้นผิววัสดุ สำหรับอุตสาหกรรมทางทะเลและการแพทย์

‘FleXARs’ ฟิล์มปกป้องพื้นผิววัสดุ สำหรับอุตสาหกรรมทางทะเลและการแพทย์

  อุตสาหกรรมทางทะเลทั่วโลกต้องเสียหายปีละ 4 ล้านล้านบาท จากปัญหา ‘เพรียงทะเลเกาะ’ เพราะการเกาะของเพรียงทะเลทำให้พื้นผิววัสดุเป็นรู เกิดการกัดกร่อน และขึ้นสนิมได้ง่าย และหากมีเพรียงทะเลเกาะที่เรือเดินสมุทรเป็นจำนวนมาก จะทำให้เรือมีน้ำหนักมากและต้านน้ำ ส่งผลให้ต้องใช้เชื้อเพลิงมากกว่าปกติ และมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สาเหตุของโลกร้อนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เนคเทค สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนานวัตกรรมฟิล์ม FleXARs เพื่อปกป้องพื้นผิววัสดุ ฟิล์มชนิดนี้มีคุณสมบัติป้องกันน้ำและน้ำมันเกาะอย่างยิ่งยวด (Superamphiphobic Surface) ช่วยปกป้องพื้นผิวจากการเกาะของเพรียงหรือจุลชีพก่อโรคได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ลวดลายบนแผ่นฟิล์มสำหรับป้องกันน้ำและน้ำมันยังผ่านการทดสอบประสิทธิภาพแล้วว่าแข็งแรง ทนทาน ใช้งานในสภาวะแวดล้อมจริงได้นาน อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีการใช้งานทั่วไปด้วย รายละเอียดเพิ่มเติม: FleXARs นวัตกรรมฟิล์มป้องกันเพรียง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  

‘ไบโอแคลเซียมคาร์บอเนต’ จาก ‘เปลือกหอย’

  ‘เปลือกหอย’ เป็นปัญหาขยะจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับและอาหาร เพราะการกำจัดต้องใช้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมาก แต่รู้หรือไม่ว่าร้อยละ 95 ของเปลือกหอยมีสารแคลเซียมคาร์บอเนตที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายอุตสาหกรรม นักวิจัยนาโนเทค สวทช. จึงพัฒนากระบวนการแปรรูปเปลือกหอยขยะในอุตสาหกรรมให้เป็นสารไบโอแคลเซียมคาร์บอเนต (Bio-calcium carbonate, CaCO3) ที่มีรูปทรงเฉพาะเหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมเวชสำอาง พลาสติก และกระดาษ ด้วยกระบวนการที่ใช้พลังงานต่ำและไม่ก่อให้เกิดของเสีย โดยการทำวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ทั้งนี้ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังเร่งศึกษาวิจัยวิธีการขยายผลการใช้ประโยชน์จาก ‘สาร CaCO3 จากเปลือกหอย’ โดยมีเทคโนโลยีที่พร้อมถ่ายทอดแล้วคือ การนำสาร CaCO3 ไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์สครับผิวและผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน และมีอีก 2 งานที่อยู่ในช่วงการวิจัยและพัฒนาคือการนำสาร CaCO3 ไปใช้กับผลิตภัณฑ์พลาสติกใสและสารเคลือบกระดาษ รายละเอียดเพิ่มเติม: แปรรูป ‘เปลือกหอย’ ขยะอุตสาหกรรม สู่ ‘สารสำคัญเวชสำอาง พลาสติก กระดาษ’    

‘ไอออนเฟรชพลัส (IonFresh+)’ เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศ

‘ไอออนเฟรชพลัส (IonFresh+)’ เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศ

  นอกจากปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 แล้ว ยังมีเชื้อโรคในอากาศอีกหลายชนิดที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจและโรคเรื้อรัง เช่น โควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา “ไอออนเฟรชพลัส (IonFresh+) เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศ” ที่ใช้เทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิตและแสงยูวีซีในการบำบัดอากาศ สร้างอากาศบริสุทธิ์ให้กับห้องขนาด 150-200 ตร.ม. ได้ 2,000 ลบ.ม./ชม. สามารถตั้งเวลาเปิดปิดการทำงาน และมีฟังก์ชันควบคุมการทำงานอัตโนมัติ ที่สำคัญสามารถทำความสะอาดชุดกรองได้โดยไม่ต้องเปลี่ยน ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดการสร้างขยะ นอกจากนี้ทางด้านการผลิต เทคโนโลยีนี้สามารถผลิตได้ภายในประเทศ จึงช่วยลดการนำเข้าและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเสริมคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพให้กับคนไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ผลงานนี้ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณในรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2565 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)   รายละเอียดเพิ่มเติม: เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศ (IONFresh+)